จากกรณีหน่วยป้องกันและปราบปรามประมงทะเลปากพนังออกปฏิบัติหน้าที่กู้เครื่องมืออวนรุน (เครื่องมือประมงผิดกฎหมาย) บริเวณพื้นที่อ่าวปากพนัง อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช และถูกชาวประมงขับเรือหางยาวพุ่งชนได้รับบาดเจ็บจำนวน 1 นาย และเรือตรวจการประมงทะเล 210 ได้รับความเสียหาย เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2563 กรมประมงได้ส่งชุดปฏิบัติการทั้งทางบกและทะเลลงพื้นที่สร้างการรับรู้ความเข้าใจในการบังคับใช้กฎหมายตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตลอดจนการตรวจตราและป้องปรามเพื่อมิให้เกิดการทำประมงผิดกฎหมาย
นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า กรมประมงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเลเขต 2 (สงขลา) เคลื่อนย้ายกำลังพลอย่างเร่งด่วนเพื่อปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับหน่วยป้องกันและปราบปรามประมงทะเลปากพนัง ในการบูรณาการร่วมแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายพร้อมบังคับใช้กฎหมายตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติมอย่างเข้มข้นในพื้นที่อ่าวปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งได้มอบแนวทางการปฏิบัติงานให้เจ้าหน้าที่กรมประมงลงพื้นที่สร้างกระบวนการรับรู้และเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนในการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายพร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดกับผู้กระทำผิดที่และคำนึงถึงความปลอดภัยระหว่างการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ ได้กำหนดแผนการปฏิบัติงานในพื้นที่โดยแบ่งกำลังพลออกเป็น 2 ชุด ดังนี้ 
1. ชุดปฏิบัติการทางทะเล : ปฏิบัติหน้าที่โดยใช้เรือตรวจการประมง มีภารกิจหลัก คือ การตรวจตราบังคับใช้กฎหมายตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้เป็นไปตาม พรก.ประมง 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตลอดจนเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กลุ่มชาวประมงส่วนใหญ่ที่ทำประมงด้วยเครื่องมือประมงถูกกฎหมายอุ่นใจในวิถีการทำประมง
2. ชุดปฏิบัติการทางบก : ปฏิบัติหน้าที่โดยใช้รถยนต์ของทางราชการ มีภารกิจหลัก คือ การลงพื้นที่สร้างการรับรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง และพบปะพูดคุยเพื่อรับฟังปัญหาจากผู้นำชุมชนในพื้นที่เป้าหมายทุกกลุ่ม
 
.
สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นทางเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมหลักฐานพร้อมเข้าแจ้งความกับทางสถานีตำรวจภูธรอำเภอปากพนังและพร้อมสนธิกำลังร่วมกับทางตำรวจเพื่อหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีทางกฎหมายเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้นายพรศักดิ์ ศักดิ์ธานี ประมงจังหวัดนครศรีธรรมราช ลงพื้นที่ไปเยี่ยมเจ้าหน้าที่ตรวจการประมงที่ได้รับบาดเจ็บรายดังกล่าว ซึ่งทราบว่ามีตัวแทนชาวประมงพื้นบ้านได้ร่วมเดินทางไปให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่อีกด้วย สะท้อนให้เห็นว่าภายใต้เรื่องไม่ดีที่เกิดขึ้น เรายังเห็นภาพความร่วมมือดีๆ ที่คอยสนับสนุนเจ้าหน้าที่ประมงให้มีกำลังใจปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
อธิบดีฯ กล่าวในตอนท้ายว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดไหน
ของประเทศไทย เพราะไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมประมงหรือชาวประมงเราก็ล้วนแต่เป็นพี่น้องร่วมชาติเดียวกันทั้งสิ้น ไม่อยากเห็นภาพการใช้กำลังทำร้ายกันอย่างรุนแรงจนอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บจนอาจถึงขั้นเสียชีวิต 
ขอให้หันมาพูดคุยกันด้วยเหตุผล กรมประมงยินดีรับฟังข้อคิดเห็นของท่านในทุกเรื่อง ซึ่งจะเห็นได้จากการร่างมาตรการต่างๆ กรมประมงได้เชิญตัวแทนชาวประมงผู้มีส่วนได้เสียในเรื่องนั้นๆ เข้ามาร่วมพิจารณาให้ข้อคิดเห็นร่วมกันเพื่อให้มาตรการต่างๆ เป็นที่ยอมรับจากพี่น้องชาวประมง
สุดท้ายนี้กรมประมงขอขอบคุณเครือข่ายประมงและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ทุกนายที่ช่วยกันเฝ้าระวัง สอดส่องดูแลการทำประมงที่ผิดกฎหมายด้วยความเสียสละ และเสี่ยงอันตรายเพื่อปกป้องและรักษาทรัพยากรสัตว์น้ำในพื้นถิ่นของตนด้วยความหวงแหนเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน หากพบผู้กระทำประมงผิดกฏหมาย สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สำนักงานประมงจังหวัดทุกจังหวัด หรือ กองตรวจการประมง กรมประมง โทร. 02-561-4691
 
			


