ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โดยศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ จัดแถลงข่าวเปิดบริการทางการแพทย์ด้านเทคโนโลยีเพื่อการเจริญพันธุ์ ภายใต้แนวคิด “จากความหวัง…สู่ความจริง Hope Begins Here” มุ่งเน้นยกระดับคุณภาพชีวิตของสตรีและครอบครัวไทย ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และมีปัจจัยหลากหลายที่ทำให้คู่สมรสในวัยเจริญพันธุ์เผชิญภาวะมีบุตรยากมากขึ้น โดยเน้นการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐานสากล พร้อมเทคโนโลยีทันสมัยและทีมแพทย์เฉพาะทางสูตินรีเวชแพทย์ด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ รวมไปถึงทีมสหสาขาวิชาชีพ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โดยได้รับเกียรติจาก นพ.เกรียงไกร ถวิลไพร ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เป็นประธานเปิดงาน และ ผศ.นพ.ณัฐวุฒิ กันตถาวร ผู้ช่วยคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศรีสวางควัฒน ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และหัวหน้าศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ กล่าวรายงาน พร้อมด้วยทีมสูตินรีเวชแพทย์ด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ นำโดยพญ.กตัญญุตา นาคปลัด, พญ.ธาวินี กฤตสรรค์วงศ์, พญ.พรชนิตว์ ศานตมลกุลโรจน์, พญ.รัญชิดา สุวรรณสาร, พญ.ฐานิสา กิจจรัส,คุณรัตนา จุลสวัสดิ์ หัวหน้าฝ่ายการพยาบาล และทีมพยาบาลศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ พร้อมด้วยนักวิทยาศาสตร์ด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ เข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง ณ ห้อง Convention Hall ชั้น 6 อาคารกรมพระศรีสวางควัฒน โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โดยมีคุณได๋ ไดอาน่า จงจินตนาการ เป็นผู้ดำเนินรายการ วันอังคารที่ 26 สิงหาคม 2568
นพ.เกรียงไกร ถวิลไพร ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ กล่าวว่า “ปัจจุบันปัญหาการมีบุตรยากถือเป็นปัญหาหลักด้านสุขภาพที่พบได้บ่อย ร้อยละ 15-20 ของคู่สมรส ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาทิ อายุที่เพิ่มมากขึ้นของคู่สมรส โรคของมดลูกและรังไข่หรือความผิดปกติของอสุจิ รวมทั้งการรักษาโรคมะเร็งที่มีผลต่อเซลล์สืบพันธุ์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จึงได้จัดตั้ง ศูนย์การรักษาภาวะการเจริญพันธุ์ โดยนำเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์มาต่อยอดการรักษาผู้มีบุตรยาก อาทิ การฉีดเชื้อในโพรงมดลูก การทำเด็กหลอดแก้ว และการตรวจโครโมโซมตัวอ่อนเพื่อรักษาโรคทางพันธุกรรม รวมถึงการเก็บรักษาเซลล์สืบพันธุ์ในกลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็ง ก่อนได้รับการรักษาที่เป็นอันตรายต่อระบบสืบพันธุ์ อีกทั้งยังวางแผนการตั้งครรภ์ในผู้ป่วยมะเร็งเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม โดยทีมสหสาขาวิชาชีพ พร้อมด้วยแพทย์เฉพาะทางสาขาต่าง ๆ ซึ่งการจัดกิจกรรมบริการวิชาการสุขภาพจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “จากความหวัง…สู่ความจริง Hope Begins Here” เทคโนโลยีเพื่อการเจริญพันธุ์ มีบุตร (ไม่) ยาก เพื่อส่งเสริมการวางแผนการมีบุตรตลอดจนการตั้งครรภ์ให้ปราศจากโรคและเพิ่มการเกิดอย่างมีคุณภาพ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2560-2569 ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการเกิดและการเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ”

ด้าน พญ.พรชนิตว์ ศานตมลกุลโรจน์ สูตินรีเวชแพทย์ด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ กล่าวเสริมว่า สำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่กังวลเรื่องการมีลูก ปัจจุบันมีทางเลือกหลากหลายทั้งในผู้หญิงและผู้ชายทางเลือกสำหรับผู้หญิง คือ การแช่แข็งไข่ (Oocyte Cryopreservation) เป็นการกระตุ้นไข่แล้วดูดออกมาแช่แข็งเพื่อใช้ในอนาคต การเก็บตัวอ่อน (Embryo Freezing)สำหรับผู้ที่มีคู่แล้ว นำไข่มาผสมอสุจิแล้วแช่แข็ง หรือแช่แข็งเนื้อรังไข่ (Ovarian Tissue Freezing)เหมาะกับเด็กหญิง หรือผู้ที่ต้องรักษาเร่งด่วน และย้ายรังไข่หลบการฉายแสง(Ovarian Transposition) ส่วนทางเลือกสำหรับผู้ชาย สามารถแช่แข็งน้ำเชื้อ (Sperm Cryopreservation) ขั้นตอนง่ายและเก็บได้นานหลายปีหรือการเก็บเนื้ออัณฑะในเด็กผู้ชายซึ่งยังอยู่ในขั้นวิจัยและสำหรับการเก็บเซลล์สืบพันธุ์ต้องทำก่อนเริ่มการรักษา เพราะหลังจากได้รับยาเคมีบำบัดหรือฉายแสง อาจไม่เหลือเซลล์ให้เก็บอีกเมื่อร่างกายและครอบครัวพร้อมสามารถวางแผนตั้งครรภ์ได้ เมื่อพิจารณาจากความสงบของโรคมะเร็งความพร้อมของสุขภาพโดยรวมกรณีผ่าตัดมดลูกหรือมีข้อห้ามในการตั้งครรภ์ อาจพิจารณาวิธีอุ้มบุญแทนหากถ้าเรารู้ตั้งแต่ต้น เราจะมีสิทธิเลือกชีวิตของเราได้เอง และถ้าเลือกถูกเวลาชีวิตก็ยังไปต่อได้ พร้อมกับความหวัง”

สำหรับ “นวัตกรรมเพื่อสตรีมีลูกยาก กับตัวช่วยเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์” โดย พญ.รัญชิดา สุวรรณสาร แพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ กล่าวถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีในปัจจุบันว่า “อายุของผู้หญิงมีผลโดยตรงต่อโอกาสตั้งครรภ์ ทั้งในกรณีตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ และผ่านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ เช่น IUI และ IVF ก่อนอายุ 35 ปี โอกาสการตั้งครรภ์สูง ไข่ยังมีคุณภาพและความผิดปกติทางพันธุกรรมต่ำ แต่ถ้าอายุ 35 ปีขึ้นไปความสามารถในการตั้งครรภ์ลดลง เนื่องจากจำนวนและคุณภาพของไข่ลดลง ซึ่งมีความเสี่ยงแท้งหรือความผิดปกติของทารกเพิ่มมากขึ้น สามารถนำเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่นิยมใช้อย่าง IUI (Intrauterine Insemination) คือ การฉีดเชื้ออสุจิเข้าโพรงมดลูก โดยเหมาะกับคู่ที่มีภาวะมีบุตรยากไม่ทราบสาเหตุ หรือไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ช่วงวันไข่ตกได้ และ การทำ IVF/ICSI (เด็กหลอดแก้ว) สำหรับคู่ที่มีปัญหาซับซ้อน เช่น ท่อนำไข่อุดตัน หรือคุณภาพน้ำเชื้อไม่ดี หรือมีโรคทางพันธุกรรมซึ่งวิธีนี้จะทำให้มีโอกาสำเร็จมากกว่าวิธีการฉีดเชื้อเข้าสู่โพรงมดลูก โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ มีห้องแลปมาตรฐานสากลและนักวิทยาศาสตร์ผ่านการรับรองคุณภาพยุโรป เพื่อเพิ่มความสำเร็จในการตั้งครรภ์”
ด้าน พญ.ฐานิสา กิจจรัส แพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ อธิบายถึงความแตกต่างและขั้นตอนของ IVF และ ICSIว่า “การทำเด็กหลอดแก้วเป็นทางเลือกสำคัญสำหรับคู่สมรสที่มีปัญหามีบุตรยาก สำหรับ IVF (In Vitro Fertilization) เป็นการนำไข่และอสุจิมาผสมกันนอกร่างกายในห้องแล็บ แล้วเลี้ยงตัวอ่อนก่อนย้ายกลับสู่โพรงมดลูก ส่วน ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) : เป็นเทคนิคหนึ่งของ IVF ใช้อสุจิเพียงตัวเดียวฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง เพื่อเพิ่มโอกาสการปฏิสนธิ ซึ่งที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ใช้วิธี ICSI เกือบทั้งหมด เพื่อคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงที่สุดการทำเพื่อให้เกิดความสำเร็จสูงสุด

1. Conventional IVF นำไข่มาใส่รวมกับอสุจิหลายหมื่นตัวในจานเพาะเลี้ยง ปล่อยให้อสุจิว่ายเข้าไปผสมไข่เอง
2. ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) เลือกอสุจิที่ดีที่สุด 1 ตัว ฉีดเข้าไปในไข่โดยตรงด้วยเครื่องมือระดับไมโคร สำหรับการเลี้ยงตัวอ่อนในห้องแล็บ ตัวอ่อนจะถูกเลี้ยงประมาณ 5–6 วัน จนเจริญถึงระยะ Blastocyst ซึ่งเป็นระยะที่เหมาะสมสำหรับการฝังตัวโดยตัวอ่อนสามารถแช่แข็งเก็บไว้เพื่อรอย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกในภายหลัง การแช่แข็งตัวอ่อน ไข่ หรืออสุจิ เป็นทางเลือกสำคัญสำหรับการวางแผนครอบครัว และช่วยให้ผู้ป่วยโรคร้ายหรือคู่สมรสที่ยังไม่พร้อมมีลูกในตอนนี้ สามารถเก็บความหวังในการมีบุตรไว้ได้อย่างปลอดภัย”
ภายในงานยังมีการแชร์ประสบการณ์จริงจากผู้ป่วยที่เคยเข้ารับการรักษาและประสบความสำเร็จในการมีบุตร พร้อมทีมสหสาขาวิชาชีพ ร่วมสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการแพทย์ที่ช่วยเติมเต็มความหวังให้แก่คู่สมรสที่เผชิญภาวะมีบุตรยาก นอกจากนี้การดูแลผู้ป่วยภาวะมีบุตรยากไม่ได้จำกัดอยู่แค่การรักษาด้วยเทคโนโลยี แต่ยังต้องอาศัยการสนับสนุนด้านร่างกายและจิตใจจากทีมพยาบาล พว. อารีวัลย์ ปุ่นยิ้ม พยาบาลด้านมีบุตรยากเล่าให้ฟังถึงบทบาทและความหมายของการทำงานในสายนี้ว่า “บทบาทหลักของพยาบาลต้องประเมินและให้ข้อมูลเบื้องต้น ซักประวัติสุขภาพ ประจำเดือน การใช้ยาคุมกำเนิด และประวัติการแท้ง พร้อมให้ความรู้เกี่ยวกับการทำหัตถการ สนับสนุนด้านจิตใจและอารมณ์ รับฟังโดยไม่ตัดสินให้คำแนะนำและสร้างกำลังใจในการดูแลตนเองช่วยเหลือกระบวนการทางการแพทย์ เตรียมผู้ป่วยก่อนตรวจหรือทำหัตถการ เช่น เจาะเลือด ตรวจน้ำเชื้อ อธิบายขั้นตอนต่างๆ สอนการฉีดยา และติดตามผลข้างเคียงหลังทำหัตถการประสานงานกับทีมสหวิชาชีพเพื่อให้การดูแลผู้ป่วยครบวงจรการทำงานในคลินิกเจริญพันธุ์ ไม่ใช่แค่การให้ยาและหัตถการเท่านั้น แต่คือการมอบความมั่นใจและความหวังให้ผู้ป่วยทุกก้าวของเส้นทางสู่การมีบุตร”
ภายในงาน จัดกิจกรรมบริการสุขภาพ ประกอบด้วย บูทตรวจอัลตราซาวด์เพื่อวางแผนฝากไข่และการมีบุตร พร้อมปรึกษาแพทย์บริการนัดหมายวางแผนการรักษา และการจัดแสดงนวัตกรรม High-tech instrument สำหรับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์กิจกรรมให้ความรู้ทางนรีเวช รวมถึงบูทจากพันธมิตรด้านสุขภาพการจัดงานครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ในการเป็นศูนย์กลางบริการด้านสุขภาพสตรีและการเจริญพันธุ์ที่พร้อมดูแลประชาชนไทยให้เข้าถึงการรักษาที่ได้มาตรฐานระดับสากลนอกจากการให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยากที่กล่าวมานั้นแล้ว ที่ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ยังให้บริการตั้งแต่ตรวจความพร้อมก่อนแต่งงาน ตรวจความพร้อมก่อนมีลูก สามารถเข้ารับคำปรึกษาได้ที่ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ณ อาคารอัครราชกุมารี ชั้น 9 หรือ อาคารกรมพระศรีสวางควัฒน ชั้น 2 โถงลิฟต์ A โทร 1118 ต่อ 6565 / 5266 นัดหมายช่องทางออนไลน์ แอดไลน์โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ (LINE Official @chulabhornhospital) เลือกเมนูบริการผู้ป่วย เลือกทำนัด/เลื่อนนัด เลือก LINE คลินิกผู้มีบุตรยาก เพื่อแชทปรึกษานัดหมาย หรือนัดหมายออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน CHULABHORN HEALTH+ สามารถดาวน์โหลดได้ทั้ง App store / Google Play store


































