สศก. ขานรับนโยบายเกษตรอินทรีย์ เร่งขับเคลื่อนแผน เพิ่มพื้นที่ให้ได้ 1.3 ล้านไร่ ตามเป้าในปี 65

.
ที่ผ่านมากระทรวงเกษตรฯ ได้เร่งผลักดัน “(ร่าง) พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน พ.ศ. ….” ซึ่งเป็นอีกกลไกหนึ่งในการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร ด้วยระบบเกษตรกรรมยั่งยืน ตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วย เกษตรอินทรีย์ เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน เกษตรธรรมชาติ วนเกษตร และอื่นๆ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำหรับการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ สศก. ได้จัดทำ “แผนปฏิบัติการด้านเกษตรอินทรีย์ พ.ศ. 2560-2565” โดยผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 และนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งบริบทต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยกำหนดวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยเป็นผู้นำเกษตรอินทรีย์ในภูมิภาคอาเซียน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ภายในปี 2565”


(1) ด้านการส่งเสริมการวิจัย พัฒนานวัตกรรม ฐานข้อมูล และถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์
(2) ด้านพัฒนาการผลิตและการบริหารจัดการเกษตรอินทรีย์ และ
(3) ด้านการพัฒนาการตลาด การบริการ และมาตรฐานเกษตรอินทรีย์

ทั้งนี้ จากการผลักดันการดำเนินงานด้านนโยบายเกษตรอินทรีย์มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560 โดยใช้แนวทาง “ตลาดนำการผลิต” และการเชื่อมโยงระหว่างเกษตรกร ผู้ผลิต และการตลาด ส่งผลให้ปี 2562 มีพื้นที่เกษตรอินทรีย์ของประเทศไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ จำนวน 521,826.56 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่มีพื้นที่ 230,946 ไร่ หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 126 มีเกษตรกรที่ผ่านการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ จำนวน 40,774 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่มีจำนวน 10,754 ราย หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 276 (ข้อมูล กรมพัฒนาที่ดิน ณ 28 พฤษภาคม 2562) ทั้งนี้ พื้นที่เกษตรอินทรีย์ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่ คือ พื้นที่ปลูกข้าว ผัก และผลไม้ โดยด้านการตลาด พบว่า สินค้าเกษตรอินทรีย์ส่งออกที่สำคัญของไทยใน ปี 2561 ได้แก่ ข้าว มะพร้าวอ่อน มังคุด ทุเรียน ใบชาเขียว และกะทิสำเร็จรูป โดยข้าวอินทรีย์ มีตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อิตาลี จีน สวิตเซอร์แลนด์ และเดนมาร์ก ส่วนมะพร้าวอ่อน มังคุด ทุเรียน ใบชาเขียว กะทิสำเร็จรูป มีตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ จีน และสหรัฐอเมริกา ซึ่งสินค้าอินทรีย์ ของไทยยังคงมีทิศทางความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง


























