



ดังนั้น หนึ่งในแนวทางในการศึกษาความเหมาะสมในการสร้างประตูระบายน้ำกลางแม่น้ำสงคราม ที่ ต.ท่าก้อน อ.อากาศอำหน่วย จ.สกลนคร เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการน้ำทั้งในฤดูแล้งและฤดูฝน ที่สามารถกักเก็บน้ำได้ในระยะทางไกลถึง 150 กิโลเมตร ความจุน้ำ 74 ล้านลูกบาศก์เมตร ใช้ประโยชน์ด้านการเกษตรมากถึง 4 แสนไร่ โดยในฤดูแล้ง จะปิดบานระบายน้ำทุกบานเพื่อยกระดับน้ำและเก็บกักน้ำในลำน้ำหน้าประตูระบายน้ำไว้เพื่อการอุปโภคบริโภค การเกษตรกรรม การประมง และการใช้น้ำอื่นๆ ขณะที่ในฤดูฝน ช่วงน้ำหลาก จะเปิดบานระบายน้ำพ้นน้ำโดยให้มีการระบายน้ำในแม่น้ำสงครามผ่านบริเวณหัวงาน ปตร. ไหลลงสู่แม่น้ำโขง สภาพใกล้เคียงเหมือนก่อนมีประตูระบายน้ำให้มากที่สุด สำหรับช่วงอื่นๆ ควบคุมบานระบายน้ำ เพื่อยกระดับน้ำและรักษาระดับน้ำให้เหมาะสมในกิจกรรมการใช้น้ำต่างๆ ในกรณีที่สภาพอุทกวิทยาของน้ำท่าในแม่น้ำโขง และในลุ่มน้ำสงครามเกิดวิกฤต เช่น ระดับน้ำในแม่น้ำโขงผันผวน หรือต่ำลงหรือแห้งขอด หรือเกิดภาวะฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วงในลุ่มน้ำสงคราม เป็นต้น
“ลุ่มแม่น้ำสงคราม สามารถพัฒนาพื้นที่ฯ ให้เป็นชุมชนแห่งการอยู่กับน้ำหลากได้ ด้วยการเพิ่มพื้นที่รับน้ำ และเก็บกักน้ำไว้ในแม่น้ำสงคราม โดยกระดับและผันน้ำจากหน้าประตูระบายน้ำเข้าไปเติมในแก้มลิงธรรมชาติ และอ่างเก็บน้ำที่อยู่ริมสองฝั่งลำน้ำให้มีน้ำตลอดปี โดยให้มีการกีดขวางระบบนิเวศ สัตว์น้ำ และการระบายน้ำช่วงน้ำหลากให้น้อยที่สุด ขณะเดียวกัน ยังสามารถสูบน้ำจากแม่น้ำโขงในช่วงฤดูแล้งเข้ามาใช้ในลุ่มน้ำสงครามตอนล่างได้ สามารถนำไปใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค การเกษตรกรรม ปศุสัตว์ การประมงและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่งนอกจากจะแก้ปัญหาน้ำแล้ง-น้ำหลาก ได้แล้ว เท่ากับเป็นการยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนในบริเวณพื้นที่โครงการให้ดียิ่งขึ้นด้วย”ดร.สมเกียรติ กล่าว
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาลุ่มน้ำสงครามต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการอนุรักษ์และการฟื้นฟู ที่ต้องบูรณาการเพื่อให้ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วม ให้เกิดการขับเคลื่อนได้อย่างสมบูรณ์ในภาค เศรษฐกิจ – สังคม–สิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ แนวทางการศึกษาข้างต้นจะนำไปสู่การขับเคลื่อนตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำลุ่มน้ำสงครามโดยเร็วต่อไป

























