
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก จึงได้ดำเนินโครงการการยุติการผสมพันธุ์เสือในกรง เพื่อเป็นการยุติการทารุณกรรมสัตว์จากกระบวนการเลี้ยงที่ไม่เหมาะสม ทั้งขนาดของกรง สถานที่เลี้ยง อาหาร รวมทั้งการฝึกเสือเพื่อนำมาแสดง เป็นภาพรวมที่ทำให้เสือแต่ละตัวต้องพบกับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส นับตั้งแต่ลูกเสือที่ถูกพรากจากแม่ตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อให้แม่เสือมีโอกาสผสมพันธุ์อีกครั้งได้เร็วขึ้น ซึ่งตามปกติ ลูกเสือจะหย่านมเมื่ออายุ 4-6 สัปดาห์ และแยกจากแม่เมื่ออายุ 1-2 ปี กลับถูกนำมาเลี้ยงโดยคนเมื่ออายุเพียงแค่ 2 เดือน และให้อาหารที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติของลูกเสือ ทั้งยังต้องทำกิจกรรมเพื่อให้ความบันเทิงกับคน เช่น ถูกอุ้มถ่ายรูป และป้อนนมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ลูกเสืออ่อนแอและมีสุขภาพไม่สมบูรณ์ ทั้งนี้ยังรวมไปถึงการแยกลูกเสือออกมาฝึกเพื่อการแสดง เช่น การลอดห่วงไฟ หรือการจัดแสดงที่ขัดกับหลักพฤติกรรม เช่น การขังรวมเพื่อให้ลูกเสือใช้ชีวิตร่วมกับสัตว์ชนิดอื่น เช่น การให้กินนมจากแม่หมู เสือที่โต จะถูกเลี้ยงด้วยโครงไก่และเนื้อหมูเนื้อวัวแล่ปรุงสุก ซึ่งทำให้สูญเสียวิตามินตามธรรมชาติไป บางครั้ง อาหารของมัน จะเป็นอาหารสำเร็จรูปของแมวและหมา ทำให้เสือส่วนใหญ่เกิดภาวะขาดสารอาหาร เพราะตามธรรมชาติ เสือจะกินซากสัตว์ทั้งตัว ที่รวมเนื้อ กระดูก และหนัง เพื่อให้ได้โปรตีน ไขมันและสารอาหารที่จำเป็น ในปริมาณสูงเท่าที่ร่างกายต้องการ
ทั้งนี้ ในปัจจุบันกฎหมายภายใต้ พรบ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2560 ยังมีช่องว่างและยังเปิดโอกาส ในการอนุญาตให้ผสมพันธุ์เสือในกรงเลี้ยงได้ ถึงแม้กรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะมีมาตรการในการติดตามควบคุมและบังคับใช้กฎหมายในการผสมพันธุ์เสือดังกล่าว เช่น การแยกพ่อพันธุ์กับแม่พันธุ์ การตรวจดีเอ็นเอเสือ แต่จากข้อมูลก็ยังพบการลักลอบผสมพันธุ์เสืออย่างต่อเนื่อง การผสมพันธุ์ด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง จะมีผลเสียทางด้านพันธุกรรมที่เกิดจากการผสมเลือดชิด ทำให้ร่างกาย ไม่สมบูรณ์ และมักจะมีชีวิตอยู่ไม่นาน ด้วยเหตุนี้ องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก จึงทำการรณรงค์เรียกร้องให้ภาครัฐปรับเปลี่ยนนโยบาย ให้เกิดการยุติการผสมพันธุ์เสือในกรงเลี้ยง เพื่อป้องกันการเพิ่มจานวนเสือซึ่งเป็นสัตว์ป่า ที่จะถูกนำมาใช้ เพื่อความบันเทิงและทำการค้าในรูปแบบต่างๆ ในการรณรงค์นี้ เราต้องการผู้ร่วมลงชื่อสนับสนุนอย่างน้อย 10,000 ชื่อ พร้อมสำเนาบัตรประชาชน เพื่อให้เป็นการเรียกร้องที่สมบูรณ์ตามกฎเกณฑ์ที่รัฐกำหนด
“การผสมพันธุ์เสือในกรงเลี้ยงส่วนใหญ่ เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ การผสมพันธุ์เสือในกรงไม่ช่วยในการอนุรักษ์ เสือเหล่านี้ไม่สามารถที่จะอยู่ในป่าตามธรรมชาติได้ และไม่สามารถปล่อยกับคืนสู่ป่าได้ เนื่องจาก การเลี้ยงดูที่ถูกฝึกให้ใกล้ชิดกับคน หากปล่อยกับคืนสู่ป่ามีโอกาสถูกล่าได้ง่ายมาก และในการประชุม ไซเตส เมื่อ ปี 2007 ได้ระบุว่าการผสมพันธุ์เสือในกรงเลี้ยงของสถานที่โชว์การแสดงสัตว์ไม่ใช่วัตถุประสงค์ของการอนุรักษ์ (Cites international regulation:2007) ทั้งนี้ไซเตสได้สนับสนุนให้มีการยุติการผสมพันธุ์เสือในกรงและการผสมพันธุ์เสือเพื่อใช้ในการแสดง ในการประชุมเมื่อปี 2552 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ภายใต้โครงการรณรงค์ดังกล่าว มุ่งเน้นการห้ามผสมพันธุ์เพื่อนำเสือมาใช้ในความบันเทิงเท่านั้น แต่ไม่ได้ห้ามผสมพันธุ์เพื่อการอนุรักษ์ เช่น เสือสายพันธุ์ท้องถิ่น ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมอุทยานฯ หรือสวนสัตว์ของรัฐ ที่ทำการเพาะพันธุ์เพื่อวัตถุประสงค์ของการอนุรักษ์ เช่น ศูนย์เพาะพันธุ์เสือของกรมอุทยานแห่งชาติฯ หรือหน่วยงานวิจัยอื่นๆ”คุณปัญจเดช กล่าว


























