“มนัญญา แรงส์จริง ตอบโต้สหรัฐฯควรถามคนไทยต้องการอะไร ยัดเยียดให้ใช้สาร เพื่อส่งยารักษาโรคมาขายประเทศไทย สั่งสหกรณ์การเกษตร800แห่ง ช่วยเหลือเกษตรกรโดยเร็วที่สุด ปรับเปลี่ยนทำเกษตรปลอดสาร สนับสนุนเครื่องจักรกล กำจัดวัชพืช เร่งขอนายกฯใช้งบกลางอุดหนุนสหกรณ์ทุกจังหวัด”
วันนี้ (25ต.ค.)น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เดินทางลงพื้นที่จ.อุทัยธานี เพื่อประชุมทุกหน่วยงานขับเคลื่อนนโยบายเกษตรปลอดภัย ภายหลังแบน3สารเคมี โดยมีประชาชน เกษตรกร หน่วยงานต่างๆมามอบดอกกุหลาบให้กำลังใจจำนวนมากพร้อมตะโกนให้ รมช.เกษตรฯสู้ๆต่อไปเพื่อสุขภาพที่ปลอดภัยของคนไทย

.
“ ชูโมเดล “เมืองหลวงเกษตรปลอดภัยอุทัยธานี”ซึ่งเป็นจังหวัดบ้านเกิดดิฉัน เพื่อให้เป็นจังหวัดต้นแบบและขยายผลไปทุกจังหวัดแบบเครือข่ายใยแมลงมุม ในการส่งเสริมปลูกพืชอินทรีย์ ทำเกษตรปลอดภัย คนที่มาเที่ยวจังหวัดนี้จะได้กินน้ำ อาหาร อากาศ ปลอดภัย ซึ่งประชาชนทุกคนต้องการ ดิน น้ำ ลม ไฟ อาหารที่บริสุทธิ์ จึงขอให้สหรัฐฯควรมาถามคนไทยทุกคนว่าต้องการอะไร ไม่ใช่จะมายัดเยียดให้ใช้สารอะไรต่ออะไร ที่จริงประเทศไทยจะพยายามแบน3สารมาหลายปีแล้ว มีใครถาม หรือใครทราบไหมว่ากว่าที่ดิฉันจะสามารถแบน3สารนี้ได้ ดิฉันต้องเจอต้องต่อสู้กับอะไรมาบ้าง เพื่อคนไทย ซึ่งความต้องการของเกษตรกรเองอยากเลิกใช้สารเคมี เพราะทุกคนก็รู้พิษภัยต่อสุขภาพร่างกาย จริงๆไม่อยากใช้สารเคมีมาทำลายชีวิตคนไทย ผู้บริโภค ที่เราต้องอยู่กันต่อไปบนแผ่นดินนี้”น.ส.มนัญญา กล่าว
รมช.เกษตรฯกล่าวว่าในการแบน3สารเป็นเรื่อง กฏหมายของแต่ละประเทศ ซึ่งดิฉันคงไม่ตอบโต้มากกว่านี้ ส่วนกระทบเรื่องการค้าหรือไม่ เป็นเรื่องของรัฐบาลที่จะดูแลแก้ไขกันต่อไป อย่าคาดการณ์ล่วงหน้า

น.ส.มนัญญา กล่าวว่าจะมีการบูรณาการทุกหน่วยงาน เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ เชื่อมโยงตลาดโรงพยาบาลอาหารปลอดภัยทุกอำเภอ โครงการอาหารปลอดภัยในโรงเรียน ร้านจำหน่ายสินค้าเกษตรปลอดภัยในจังหวัด พัฒนาเป็นร้านจำหน่ายสินค้าเกษตรปลอดภัย หรือกรีนช็อป การสร้างและพัฒนาตลาดเพื่อให้เกิด ซูเปอร์สหกรณ์ในทุกจังหวัดขึ้น ทั้งนี้สินค้าเกษตรปลอดภัยได้มีการส่งเสริมให้สหกรณ์การเกษตรในจังหวัดเป็นแหล่งรวบรวมผลผลิต จากทุกอำเภอ เชื่อมโยงกับกลุ่มเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มแปลงใหญ่และเกษตรกรในพื้นที่แปลงคทช.เป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยและอินทรีย์ สร้างร้านค้าจำหน่ายสารชีวภันฑ์ หรือ กรีนช็อป ในท้องถิ่น โดยปลายทางสินค้าปลอดภัยเหล่านี้เชื่อมโยงกับตลาดและเพิ่มช่องทางการจำหน่ายไปทั่วประเทศ
.
“การขับเคลื่อนครั้งนี้มุ่งหวังให้คนไทยบริโภคอาหารปลอดภัย ดิฉันทุ่มเทการทำงานอย่างมากนับเป็นโอกาสดีกับก้าวแรกได้ทำเกิดขึ้นอย่างจริงจัง การแบน3สาร ทุกภาคส่วนต่างๆเห็นด้วย ประชาชนก็ลุกขึ้นมาไม่เอา3สารด้วย ไม่ใช่ดิฉันนึกมโนเอง ทุกหน่วยงานมีเหตุผลประจักษ์ถึงพิษภัยจากสารเคมี จริงๆประเทศไทยมีการส่งออกมากมาย ดิฉันได้นำจ.อุทัยธานี เป็นจังหวัดแรก พร้อมไปสู่จังหวัดต่างๆ ถ้าดินน้ำลมไฟ ไม่สะอาด จะไปดูแลใครได้ เราทำไมไม่ทำให้ไทยเป็นครัวโลกแท้จริง ทำไมออกมาต่อต้านกัน การปกป้องคนของประเทศเรา ผิดตรงไหน ไม่ให้คนไทยใช้สิ่งมีพิษ เราผิดหรือ หันมาใช้สรรพสิ่งในประเทศ สารเคมีเหล่านี้นำเข้า ส่งออก ไม่ได้ภาษี อยู่ดีๆเอาอะไรมาให้เราใช้ เอาเงินไป แล้วเอายาส่งมาขายคนไทยให้รักษาโรค ซึ่งการถามหาสารอะไรทดแทน เพื่อไปเข้าทางร้านขายยา ที่เป็นคนบอกเกษตรกรต้องใช้อะไร พอรัฐแบน3ตัวนี้ ร้านขายยา เชลล์ขาย ตั้งโต๊ะล่ารายชื่อเกษตรกร แจกยาฟรีเพื่อให้มาลงชื่อ ส่งสำเนาบัตรประชาชนที่จะใช้สารต่อ ถามว่าหน่วยงานที่เป็นต้นทาง ไปไหน ส่วนเกษตรกรไปฟ้องร้องศาลปกครอง ถามว่าใครล่ารายชื่อ ใครไปร้อง ใช่เกษตรกรหรือไม่ ดิฉันขอให้เกษตรกรที่มีปัญหามาหาเรา ไม่ใช่เอาเซลล์ขายยาไปขึ้นศาล จะสั่งให้กรมวิชาการเกษตร ไปตรวจสอบร้ายขายยา ที่จ.จันทรบุรี จ.ตราด ทำไมตั้งโต๊ะล่ารายชื่อ เป็นร้านที่มีใบอนุญาตถูกต้องหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมามีที่ไหนต้องใช้เงินหลวงเป็น100ล้านบาท เพื่ออบรมการใช้ยาพิษ ซึ่งที่จ.อุทัยธานี เกษตรกรมารับการอบรมใช้สารเคมี 400คน ถอนตัวไป100กว่าคน พอเปิดอบรมใช้ชีวภาพ เกษตรอินทรีย์ มาอบรมกว่า2หมื่นคน นอกจากนี้สั่งให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ สำรวจสหกรณ์การเกษตร เพื่อมีมาตรการสนับสนุนปรับเปลี่ยนมาใช้เครื่องจักรกล กำจัดวัชพืช ช่วยเหลือเกษตรกรให้เร็วที่สุด โดยจะเสนอเร่งด่วนขอใช้งบกลาง เสนอนายกรัฐมนตรี อุดหนุนสหกรณ์การเกษตร”น.ส.มนัญญา กล่าว





























