กรมชลประทานชี้แจงกรณีที่มีการนำเสนอข่าวผ่านสื่อมวลชนว่า ชาวบ้านรุมค้าน จวกกรมชลประทานหมกเม็ดข้อมูลโครงการผันน้ำยวมลงเขื่อนภูมิพล กังวลน้ำจะท่วมพื้นที่ อีกทั้งประชาชนหลายคนมีเพียงใบจับจองไม่มีเอกสารสิทธิ์ จึงกลัวว่าจะไม่ได้รับค่าชดเชย รวมทั้งประชาชนบริเวณทางออกอุโมงค์ไม่ได้รับผลประโยชน์จากโครงการฯนั้น


ทั้งนี้ ก่อนการดำเนินโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนเขื่อนภูมิพลจังหวัดตาก นั้น กรมชลประทาน ได้จัดการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ ด้วยการจัดทำวีดีทัศน์และแบบสอบถามทั้งภาษากระเหรี่ยงและภาษาไทย นอกจากนี้ ยังมีล่ามช่วยแปลภาษาระหว่างการประชุมทุกครั้ง และภายหลังจากการประชุมรับฟังความคิดเห็นในแต่ละครั้ง จะทำการสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและส่งกลับไปยังผู้นำชุมชนที่เข้าร่วมประชุมฯ เพื่อนำไปชี้แจงต่อประชาชนในพื้นที่ของตนเอง ส่วนด้านการชดเชยทรัพย์สินให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการฯ จากการลงสำรวจพื้นที่ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและผู้นำชุมชน พบว่ามีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบและต้องชดเชยทรัพย์สินรวม 24 แปลง คือ บริเวณเขื่อนน้ำยวม 1 แปลงบริเวณอ่างเก็บน้ำยวม 13 แปลง บริเวณสถานีสูบน้ำบ้านสบเงา 4 แปลง บริเวณพื้นที่จัดเก็บวัสดุจากการขุดเจาะอุโมงค์จุดที่1 จำนวน 5 แปลง และพื้นที่ถนนชั่วคราว บริเวณอุโมงค์เข้า–ออก หมายเลข 5 อีก 1 แปลง ซึ่งกรมชลประทานจะทำการชดเชยทรัพย์สินให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบที่อยู่ในพื้นที่ที่ทำการสำรวจ ตามข้อกำหนดอย่างเป็นธรรมที่สุด

ส่วนข้อกังวลเรื่องการเจือสารพิษจากกองหินที่เป็นแหล่งต้นน้ำนั้น เบื้องต้นจากการสุ่มตรวจแหล่งน้ำผิวดินจำนวน 11 สถานี บริเวณพื้นที่โครงการฯ ไม่พบการปนเปื้อนของโลหะหนักที่เป็นอันตรายต่อประชาชนแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม กรมชลประทาน ได้กำหนดแผนติดตามการตรวจสอบการปนเปื้อนของแร่โลหะหนักในดิน บริเวณพื้นที่ต้นน้ำ พื้นที่ก่อสร้างโครงการฯ พื้นที่กองเก็บวัสดุ รวมถึงชั้นหินจำนวน 18 จุดสำรวจ และเก็บตัวอย่างปีละ 1 ครั้ง ไปตรวจโดยเริ่มตั้งแต่ระยะการดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ ไปจนถึงระยะการใช้งานรวม 17 ปี เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน
กรมชลประทาน ขอยืนยันว่าการดำเนินงานทุกโครงการฯ ได้ยึดหลักปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยยึดถือประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก เพื่อเพิ่มศักยภาพและความมั่นคงด้านน้ำ ให้กับทุกพื้นที่ในประเทศ ได้มีน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค การเกษตร และภาคกิจกรรมการใช้น้ำอื่นๆโดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
























