ในยุคที่เราสามารถเชื่อมต่อกับผู้คนได้อย่างรวดเร็วตลอดเวลา เสียงสะท้อนหนึ่งที่ดังขึ้นคือ “แม้เราจะออนไลน์ตลอดเวลา” แต่กลับห่างไกลจาก “การเชื่อมต่อกับตัวเอง” พื้นที่ของการพูดและแสดงออกมีมากมายผ่านโซเชียลมีเดีย แต่พื้นที่ของ “การฟัง” ทั้งผู้อื่นและฟังใจตนเองกลับลดน้อยลง ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดเวทีเสวนา “Signal Lost – เมื่อสัญญาณขาด ตัวตนหาย” เพื่อชวนผู้เชี่ยวชาญและเยาวชนมาพูดคุยแลกเปลี่ยนถึงภาวะ “ตัวตนหล่นหาย” ในยุคดิจิทัล พร้อมหาทางกลับมาเชื่อมต่อตนเองและคนรอบข้างได้อย่างมีความหมาย โดยจัดขึ้น ณ ห้อง Amphitheatre C ASEAN Samyan CO-OP (สามย่านมิตรทาวน์) เมื่อเร็วๆ นี้

ในส่วนของเนื้อหาการเสวนา เริ่มจากการตั้งคำถามว่า “สัญญาณการเชื่อมต่อที่ขาดหายไป หรือ Zero Loss คืออะไร” โดย แพทย์หญิงวิมลรัตน์ วันเพ็ญ กล่าวว่า “วัยรุ่นจำนวนมากไม่รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไร ต้องการอะไร หรือสิ่งใดทำให้มีคุณค่าและมีความสุข พวกเขารอให้คนอื่นมอบการยอมรับ ความภูมิใจ และความหมายของชีวิตให้เสมอ เมื่อไม่สามารถเติมเต็มตัวเองได้ ต้องรอให้คนอื่นเติมให้ สุดท้ายก็รู้สึกว่างเปล่าเรื้อรัง สิ่งนี้กระทบถึงมุมมองต่อตัวเอง จนสมองไม่สามารถจดจำสัญญาณของ “ตัวตนจริง” ได้อีกต่อไป และอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตได้ในที่สุด” ด้าน หนึ่งฤทัย คมขำ จากธนาคารจิตอาสา ให้มุมมองว่า “การเติบโตท่ามกลางความคาดหวังจากครอบครัวและสังคม ทำให้เด็กมักเอาคุณค่าของตัวเองไปผูกกับสายตาคนอื่น คลื่นความต้องการของคนอื่น มักดังกว่าเสียงในใจเราเอง” ขณะที่ ศุภกฤต วณิชเจริญพงษ์ ผู้ประกาศข่าวช่อง 7HD มองว่า “เทรนด์บนโซเชียลทำให้เราเป็นคนอื่นที่ไม่เคยถามใจ ในโลกที่ทุกอย่างอยู่บนมือถือ วัยรุ่นพร้อมวิ่งตามเทรนด์ความสวยงาม เสื้อผ้า และไลฟ์สไตล์เพื่อให้ได้รับยอดไลก์หรือคอมเมนต์ บางทีเราใส่อะไรตามเทรนด์ ทั้งที่ไม่เคยถามว่าชอบจริงไหม การตามเสียงคนส่วนใหญ่ ทำให้ค่อยๆ สูญเสียความเป็นตัวเองเหมือนตู้เสื้อผ้าที่มีหลายลุค แต่กลับไม่รู้ว่าชุดแบบไหนคือเราที่แท้จริง” ส่วน สุชานันท์ สหวงศ์เจริญ ตัวแทนกองบรรณาธิการ awake1525 สะท้อนมุมมองวัยรุ่นว่า “ชีวิตที่เร่งรีบตามการยอมรับ ทำให้เดินออกนอกเส้นทางตัวเอง ชีวิตของวัยรุ่นหลายคนเต็มไปด้วยการวิ่งเพื่อให้ได้รับการมองเห็น จนไม่มีช่วงหยุดคิดหรือตั้งคำถามกับสิ่งที่ทำ ยิ่งวิ่งเร็ว ปลายทางยิ่งไกลออกไป เพราะเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป้าหมายคืออะไร สิ่งนี้เองที่ทำให้ตัวตนหลุดหายไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัว”
ทั้งนี้เมื่อพูดถึงสาเหตุของภาวะ Zero Loss ผู้ร่วมเสวนาทุกคนเห็นพ้องกันว่า โซเชียลมีเดียคือปัจจัยเสี่ยงสำคัญ คอนเทนต์ที่โพสต์ลงออนไลน์มักเป็นภาพชีวิตสวยงาม ทำให้วัยรุ่นหลงคิดว่าคนอื่นมีชีวิตที่ดีกว่า และชีวิตเราย่ำแย่ แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกคนล้วนมีปัญหาซ่อนอยู่ แพทย์หญิงวิมลรัตน์ จึงกล่าวเสริมว่า “เป็นเรื่องธรรมชาติของวัยรุ่นที่กำลังค้นหาตัวตน แต่ปัญหาคือการค้นหาที่ปราศจากสติและมักเปรียบเทียบกับคนอื่นตลอดเวลา การหาไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องรู้ว่าหาเพื่อค้นพบตัวเอง ไม่ใช่หาเพื่อพิสูจน์ว่าด้อยกว่าคนอื่น การมีสติรู้ตัวคือสิ่งสำคัญ หยุดถามตัวเองแค่ 3 วินาทีว่า ทำไปเพราะอะไร ฝึกสังเกตตัวเองในเรื่องเล็กๆ เพื่อฝึกการรู้ตัวตลอดเวลา เช่น ตอนนี้กำลังนั่งท่าไหน กำลังตื่นเต้น หรือกังวล กำลังกดไลก์เพราะเห็นด้วย หรือเพราะอยากตามเทรนด์ ก่อนกดซื้อ ก่อนกดโพสต์ ก่อนคอมเมนต์ ให้คิดก่อน ฝึกบ่อยๆ นั่นคือการดึงสัญญาณภายในกลับมา” ทางด้าน หนึ่งฤทัย ผู้แทนธนาคารจิตอาสา ให้แนวทางว่า “ต้องเพิ่มคุณภาพในการเสพสื่อ ใช้สื่ออย่างฉลาด และต้องช้าลง ลองถามตัวเองว่า อะไรคือคุณสมบัติที่เราภูมิใจในตัวเอง เรากำลังตามเทรนด์ หรือทำเพราะเป็นเราจริงๆ ทักษะนี้จะช่วยให้สัญญาณของตัวตนภายในกลับมาชัดขึ้น” ส่วนในมุมของนักเขียน สุชานันท์ ได้แนะนำวิธี ที่จะโฟกัสกับตัวเองอย่างง่ายๆ ว่า “ให้เริ่มเขียนไดอารี จดบันทึกความรู้สึก เพราะความคิดที่อยู่ในหัวมักถูกตีตราให้รุนแรงเกินจริง แต่เมื่อถูกแปรออกมาเป็นตัวหนังสือ จะมองเห็นปัญหาได้ และยังเป็นหนทาง ในการหาทางออกได้ด้วย เพราะเห็นความจริงอย่างเป็นรูปธรรม”
บทสรุปจากการเสวนา วิทยากรทุกท่านต่างมีความเห็นร่วมกันว่า การเชื่อมต่อกับตัวเองต้องเริ่มจาก “ชีวิตจริง” ออกไปเดินเล่น สัมผัสธรรมชาติ ใช้เวลากับคนในบ้านแบบมีปฏิสัมพันธ์จริง กอด พูดคุย มองตา ขยับร่างกาย เสริมพลังใจ การออกกำลังกายคือการบอกตัวเองว่าฉันยังมีพลัง และฉันกำลังดูแลตัวเองพลังเล็กๆ เหล่านี้ ช่วยให้ตัวตนกลับมามีสัญญาณชัดขึ้น เวทีเสวนาครั้งนี้จึงไม่เพียงชวนวัยรุ่นมาทบทวนบทบาทของตนในโลกออนไลน์เท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งต่อแนวคิดว่า “ตัวตนที่แท้จริงไม่ได้อยู่บนอินเทอร์เน็ต แต่อยู่ในช่วงเวลาที่เรากล้าฟังใจตัวเองอย่างลึกซึ้งที่สุด”































