ฝนที่ตกลงมาในระยะนี้ ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ดี ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำท่าในลำน้ำธรรมชาติต่างๆ รวมไปถึงทำให้มีน้ำไหลงอ่างเก็บน้ำบ้างแล้ว แม้จะยังอยู่ในเกณฑ์ไม่มากนัก เน้นย้ำให้ทุกโครงการชลประทานทั่วประเทศเฝ้าระวังติดตามและบริหารจัดการน้ำอย่างใกล้ชิด
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศว่า ปัจจุบัน(26 พ.ค. 63) มีปริมาณน้ำในอ่างฯรวมกันประมาณ 31,949ล้านลูกบาศก์เมตร( ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 45ของความจุฯรวมกัน โดยมีปริมาณน้ำใช้การได้ประมาณ 8,655 ล้าน ลบ.ม. สามารถรองรับน้ำได้อีกกว่า 38,000 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกัน 8,101 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 33 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำใช้การได้รวมกัน 1,405ล้าน ลบ.ม. สามารถรองรับน้ำได้อีกกว่า 16,000 ล้าน ลบ.ม.

กรมชลประทาน ได้คาดการณ์สถานการณ์น้ำโดยจำลองและเปรียบเทียบปริมาณน้ำไว้ 3 กรณี คือ กรณีคล้ายกับปี 2538 กรณีน้ำเฉลี่ย และกรณีน้ำน้อยกว่าค่าเฉลี่ย 5% ซึ่งอ้างอิงจากข้อมูลปริมาณน้ำต้นทุน และการคาดการณ์สภาพฝนของกรมอุตุนิยมวิทยา นำมากำหนดแนวทางการบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำต่างๆ ให้มีความเหมาะสม สามารถรองรับปริมาณน้ำในช่วงฤดูฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเก็บกักปริมาณน้ำสำรองไว้ใช้ในอนาคตด้วย นอกจากนี้ ยังได้จัดเตรียมเครื่องจักร เครื่องมือ อาทิ เครื่องสูบน้ำ 1,935 เครื่อง เครื่องผลักดันน้ำ 527 ชุด รถบรรทุก 511 คัน กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาค ในเขตสำนักงานชลประทานต่างๆ รวมทั้งสิ้น 4,850 หน่วยเพื่อให้สามารถเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่เสี่ยงภัยได้อย่างทั่วถึงและทันต่อเหตุการณ์


























