“หนองฟ้า” ทำหลายพื้นที่น้ำเพิ่มสูง ชป. เฝ้าระวังปรับแผนบริหารจัดการน้ำสอดคล้องสถานการณ์ พร้อมช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัย

0
72646

วันนี้(1ก.ย.68) ณ ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) อาคาร 99ปี หม่อมหลวงชูชาติ กำภู กรมชลประทาน ถนนสามเสน นายเดช เล็กวิชัย รองอธิบดีกรมชลประทาน เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำ โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมทรัพยากรน้ำ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ตลอดจนผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 1 -17 และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม เพื่อติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสภาพอากาศ สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำ แม่น้ำสายหลักต่างๆ สำหรับเป็นข้อมูลในการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝน ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ปัจจุบัน (1ก.ย.68) อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ รวมกันทั้งสิ้น 53,401 ล้าน ลบ.ม. (70% ของความจุอ่างฯ รวมกัน) สามารถรับน้ำได้อีก 23,105 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 18,651 ล้าน ลบ.ม. (75% ของความจุอ่างฯ รวมกัน) สามารถรับน้ำได้รวมกันอีก 6,220 ล้าน ลบ.ม. เนื่องจากในระยะนี้มีปริมาณฝนเพิ่มขึ้นจากอิทธิพลของพายุดีเปรสชันหนองฟ้า ที่ส่งผลกระทบบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน รวมไปถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศ ทำให้มีปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ปัจจุบันมีปริมาณน้ำสะสม 8,147 ล้าน ลบ.ม. (86% ของความจุอ่างฯ) กรมชลประทาน ได้ร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำยม-น่าน ประชุมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยที่ประชุมมีมติให้เขื่อนสิริกิติ์คงการระบายน้ำในเกณฑ์ 50 ล้าน ลบ.ม./วัน ไปจนถึงวันที่ 10 กันยายน 68 เพื่อรองรับปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากขณะนี้มีปริมาณฝนตกหนักบริเวณพื้นที่ท้ายอ่างฯ ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำน่านเพิ่มสูงขึ้น จึงได้ประสานไปยังการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ปรับลดการระบายน้ำลงเหลือในอัตรา 33 ล้าน ลบ.ม./วัน เพื่อลดภาระด้านท้ายน้ำ ทั้งนี้ จะร่วมกันพิจารณาปรับการระบายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด

ด้านสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำป่าสัก ที่อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ได้รับผลกระทบจากพายุดิเปรสชันหนองฟ้า ส่งผลให้มีน้ำป่าไหลหลากและน้ำจากแม่น้ำป่าสัก ไหลเข้าท่วมเขตชุมชน ในเทศบาลเมืองหล่มสัก กรมชลประทาน ได้ลดการระบายน้ำจากทางตอนบน พร้อมปรับเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เพื่อรองรับปริมาณน้ำที่จะไหลลงมาสมทบ รวมทั้งจัดเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือเข้าสูบระบายน้ำท่วมขังออกจากพื้นที่เมื่อระบายน้ำกลับเข้าสู่ตลิ่ง ปัจจุบันระดับน้ำเริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มลดลง คาดว่าหากไม่มีปริมาณฝนตกเพิ่มในพื้นที่ สถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในเร็ววัน

สำหรับสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ที่ในขณะนี้มีปริมาณน้ำจากทางตอนบนไหลลงมาสมทบ ประกอบกับมีฝนตกกระจายตัวในพื้นที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เมื่อเวลา 06.00 น. ที่ผ่านมา ที่สถานีวัดระดับน้ำ C2 จังหวัดนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่านในอัตรา 1,628 ลบ.ม./วินาที แนวโน้มเพิ่มขึ้น กรมชลประทาน ได้ทำการรับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้ง 2 ฝั่ง ตามศักยภาพของลำคลอง พร้อมทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ในอัตรา 1,350 ลบ.ม./วินาที ภายในเวลา 13.00 น. ของวันนี้ เพื่อเพิ่มช่องว่างในการรองรับน้ำจากทางตอนบนและฝนที่ตกเพิ่มในช่วงสัปดาห์นี้

ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยา ได้คาดการณ์ว่า ในช่วงสัปดาห์นี้ (1 – 7 ก.ย. 68) ประเทศไทยยังมีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคตะวันออก กทม.และปริมณฑล อิทธิพลจากร่องมรสุมที่พาดผ่าน และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่ยังคงพัดปกคลุม ยังต้องเฝ้าระวังน้ำหลากจากฝนที่ยังตกสะสมกัน โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง (พิจิตร สุโขทัย พิษณุโลก เพชรบูรณ์) จึงได้กำชับไปยังโครงการชลประทานทุกพื้นที่ ให้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาวิเคราะห์วางแผนการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมทั้งพิจารณาปรับการระบายน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมและไม่ส่งผลกระทบต่อท้ายเขื่อน ตามข้อสั่งการของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(กนช.) เพื่อรองรับปริมาณฝนที่จะเพิ่มขึ้นตามการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา ที่สำคัญให้ปฏิบัติตาม 9 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 2568 อย่างเคร่งครัด รวมทั้งหมั่นตรวจสอบอาคารชลศาสตร์และกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำอย่างต่อเนื่อง พร้อมมอบหมายเจ้าหน้าที่จัดเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือประจำจุดเสี่ยง เพื่อให้สามารถเข้าช่วยเหลือพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที ตลอดจนร่วมบูรณาการกับผู้ว่าราชการจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนถึงสถานการณ์น้ำให้ประชาชนรับรู้รับทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนให้ได้มากที่สุด ตามข้อสั่งการของ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์