เช้าวันนี้ (2 ก.ค.68) ที่ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ(SWOC) กรมชลประทาน ถนนสามเสน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางมาประชุมติดตามสถานการณ์น้ำในช่วงฤดูฝนและการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดยมี นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย รองอธิบดีกรมชลประทาน ทั้ง 4 ท่าน (นายเดช เล็กวิชัย นายฐนันดร์ สุทธิพิศาล นายวิทยา แก้วมี และนายวรพจน์ เพชรนรชาติ) ตลอดจนผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมทรัพยากรธรณี และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณาภัย ร่วมบรรยายสรุปผลการดำเนินงาน

ด้านสถานการณ์น้ำปัจจุบัน (2 ก.ค. 68) อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำเก็บกักรวมกันทั้งสิ้น 43,429 ล้าน ลบ.ม. (57% ของความจุอ่างฯ รวมกัน) สามารถรับน้ำได้อีก 33,073 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำเก็บกักรวมกันทั้งสิ้น 13,202 ล้าน ลบ.ม. (53% ของความจุอ่างฯ รวมกัน) สามารถรับน้ำได้อีก 11,669 ล้าน ลบ.ม. ภาพรวมสถานการณ์น้ำอยู่ในเกณฑ์ดีและเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ทั้งนี้ นับตั้งแต่เข้าสู่ฤดูฝนเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทั้งประเทศมีปริมาณน้ำเก็บกักรวมกันมากกว่าปีที่ผ่านมาประมาณ 5,507 ล้าน ลบ.ม. คาดการณ์ว่าเมื่อสิ้นสุดฤดูฝนในเดือนพฤศจิกายน 2568 จะมีปริมาณน้ำเก็บกักรวมทั้งประเทศประมาณ 55,895 ล้าน ลบ.ม. (79% ของความจุอ่างฯ รวมกัน)
อนึ่ง กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า ในช่วงวันที่ 1 – 6 ก.ค. 68 ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้น กับมีฝนตกหนักบางพื้นที่บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ เนื่องจากร่องมรสุมเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ซึ่งจะส่งผลดีต่อปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำที่จะเพิ่มมากขึ้น จึงได้กำชับไปยังโครงการชลประทานที่อ่างเก็บน้ำ มีปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์ดี ให้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำในระยะนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนเป็นหลัก รวมทั้งปฏิบัติตามมาตรการรับมือฤดูฝนที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบอย่างเคร่งครัด
ในการนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กรมชลประทาน ร่วมกับจังหวัดในพื้นที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งสำรวจและเร่งรัดดำเนินการรื้อสิ่งปลูกสร้างกลางลำน้ำที่ขวางทางน้ำ พร้อมทั้งประสานหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา บูรณาการเร่งรัดขุดลอกแม่น้ำสายต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำให้ดียิ่งขึ้น สามารถบรรเทาความเดือนร้อนให้ประชาชนได้มากที่สุด




























