ปี 2567 จะเป็นปีแรกที่ประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุ ที่มีอายุ 60 ปี เพิ่มขึ้น 1 ล้านคน และคาดว่าในปี 2576 ไทยจะมีผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี สูงถึง 28% ซึ่งจะก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสุดยอด (Super-Aged Society) หมายถึง สังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป เกินกว่า ร้อยละ 28 ของประชากรทั้งประเทศ หรือเป็นสังคมที่มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป เกินกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด
ที่ผ่านมาภาครัฐได้ออกมาตรการณ์เพื่อรับมือกับสังคมสูงวัยหลากหลายมิติ ยิ่งในด้านเศรษฐกิจและสังคม ประเทศไทยเริ่มมีนโยบายเพิ่มระยะเวลาการเกษียณอายุคนทำงาน เช่น จากเดิม 60 ปี เพิ่มเป็น 65 ปี, การสนับสนุนให้บริษัทจ้างงานผู้สูงอายุ, เพิ่มทักษะและการจัดหางานให้เหมาะสมกับแรงงาน, ยกระดับคุณภาพชีวิต รวมถึงวางระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุ ฯลฯ


“ที่ผ่านมาเราจะพบว่า ต่อให้อายุ 60 ปี แต่ก็ยังมีรายได้ ทั้งเกิดการจากที่ภาครัฐเราทำงานอย่างเข้มข้น และภาคเอกชนที่ร่วมกันผลักดันและสนับสนุนเชิงนโยบาย ตัวอย่าง การสนับสนุนให้บริษัทจ้างงานผู้สูงอายุ นอกจากนั้น ภาครัฐได้เริ่มตั้งศูนย์บริการจัดหางานผู้สุงอายุ เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีงานทำและมีรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทที่จ้างผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ในขณะเดียวกันก็เพิ่มทักษะด้านเทคโนโลยี เพื่อให้ผู้สูงอายุรู้เท่าทันกระแสที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของโลกและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ”

แม้ 60 ก็เปลี่ยนได้และเรียนรู้ได้ ประสบการณ์ของของ ป้าจูลี่ – จารีรัตน์ จันทร์ศิริ เจ้าของเพจคุณยายจูลี่มีสาระ ยูทูบเบอร์สาย Health & Beauty วัย 60 ปี ที่รู้รับปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่ป้าจูลี่ก็มองเห็นโอกาสในการสร้างรายได้ให้แก่ตนในวัยเกษียณเช่นเดียวกัน

ป้าจูลี่เริ่มต้นจากการเรียนรู้จาก Hi5 ใช้วิธีการถามลูก ให้ลูกสอนจนถึงยุค Facebook เริ่มทำ YouTubeบันทึกและแบ่งปันเรื่องราวที่มีประโยชน์ให้คนอื่น ตั้งแต่ไม่มีรายได้ จนเริ่มมีผู้ติดตาม และสร้างรายได้ในที่สุด
“เราดึงความชำชาญของเราออกมา เราถนัดเรื่องอะไร สนใจและรู้เรื่องอะไรก็มาแบ่งปันให้คนอื่นรู้ เริ่มจากการเป็นผู้ให้ก่อน แล้วผลลัพธ์อื่น ๆ ก็จะตามมา” ป้าจูลี่ทิ้งท้าย
ในขณะเดียวกันการทำงานขับเคลื่อนสังคมสูงอายุ นอกจากมุมสูงอายุแล้ว ยังมีกลไกของชุมชน โดยมีคนรุ่นใหม่อย่าง มะเหมี่ยว – ปิลันธน์ ไทยสรวง ผู้ก่อตั้งแบรนด์ภูคราม จ.สกลนคร ที่ตั้งใจและทุมเทในการดึงศักยภาพ ภูมิปัญญาท้องถิ่น สู่ธุรกิจที่สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน
“เหมี่ยวใช้เวลา 10 ปี ในการทำงานกับชุมชน นำประสบการณ์ที่เราเรียนรู้จากข้างนอกกลับมาทำงานที่บ้าน เจอคนทุกเพศทุกวัย ปู่ย่า ตายาย ลุงป้าน้าอา โดยทำผ่านงานผ้า สิ่งแวดล้อม และภูมิปัญญาท้องถิ่น เพราะเชื่อว่าคนที่เก็บสุดยอดความรู้และภูมิปัญญาดีที่สุดคือ ป้า ๆ ยาย ๆ เริ่มจากเข้าไปเรียนรู้ เรื่อยมากจนเริ่มเห็นผลเมื่อเข้าสู่ปีที่ 8”
การทำงานชุมชนไม่ใช่เพียงแค่การทำงานผ่านโปรดักส์ แต่เป็นการทำกระบวนการที่ยาวนานในการสร้างการมีส่วนร่วม รับฟังและเข้าใจความต้องการของชุมชน โดยเป้าหมายคือ การที่ทำให้ชุมชนเห็นคุณค่าของตนเอง รับรู้และภูมิใจในภูมิปัญญาที่สามารถเปลี่ยนเป็นมูลค่าได้ ซึ่งไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนเชิงโครงสร้างรูปธรรมเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการทำงานเปลี่ยนโครงสร้างภายในใจด้วย
ด้าน แสงชัย ธีรกุลวานิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ชี้ให้เห็นถึงแนวทางในการเสริมทักษะสู่การเป็นผู้ประกอบการในวัยเกษียณ การปรับตัวเป็นสิ่งสำคัญ มีการสำรวจออกมาว่า ผู้สูงอายุที่มีความต้องการพัฒนาสู่แรงงานมีฝีมือและต้องการทักษะเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งมีมากถึง4 แสนราย




























