สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย (สสท.) จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2564 เพื่อแจงผลการดำเนินงานในรอบปีที่ผ่านมา พร้อมชูตำราทรัพยศาสตร์ เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการพัฒนาสหกรณ์ เน้นสหกรณ์เท่านั้นที่จะทำให้ประเทศชาติอยู่รอด



นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม ประธานฯ สสท. กล่าวเพิ่มเติมว่า สันนิบาตสหกรณ์ฯ มีวิสัยทัศน์ในการเป็นองค์กรกลางเพื่อพัฒนาขบวนการสหกรณ์สู่ความเข้มแข็ง มั่นคง ยั่งยืน สู่เศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ทั้งนี้ “สหกรณ์” มิได้มีความหมายว่าเป็นเพียงนิติบุคคลซึ่งเป็นการรวมตัวของประชาชนเพื่อร่วมกันช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจและสังคมเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว “สหกรณ์” มีความหมายลึกซึ้งมากกว่าที่เข้าใจกันอยู่ กล่าวคือ สหกรณ์เป็นระบบเศรษฐศาสตร์ประเภทหนึ่งหรืออาจจะเรียกได้ว่า “ระบบเศรษฐกิจสหกรณ์” และหากมองลงไปให้ลึกกว่านี้จะพบว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญกับหน่วยธุรกิจขนาดเล็กที่เป็นการรวมตัวของกลุ่มคนมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และเป็นจริงในสมัยรัชกาลที่ 6 และถูกนำมาสร้างความเป็นประชาธิปไตยในสมัยรัชการที่ 7 นั่นคือ “สหกรณ์”
การสร้างหน่วยธุรกิจขนาดเล็ก ได้สืบทอดและพัฒนาจากแนวคิด “ความร่วมมือของชุมชน” (Co-operative Community) จนถึงขั้นระดมทุนมาร่วมกันทำกิจการร้านค้าที่เรียกว่า “สมาคมการค้า” (Trading Association) เป็นร้านสหกรณ์จำหน่ายสินค้า ซึ่งนั่นหมายถึงหน่วยธุรกิจ เพื่อต่อสู้กับการเอารัดเอาเปรียบการปลอมปนสินค้าการกำหนดราคาสูงเกินควรในยุคที่ต้องต่อสู้กับ “ระบบเศรษฐกิจแบบเสรี” และต่อมาได้พัฒนาเป็นสหกรณ์ประเภทต่าง ๆ จนกระทั่งในที่สุดได้พัฒนาเป็นสถาบันการจัดหาทุนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของมวลสมาชิก โดยอาศัยชุมชนร่วมกัน เพื่อเป็นเจ้าของในกิจการร่วมกัน หากได้พิจารณาแนวคิดดังกล่าวจะพบได้ว่า ในตำรา “ทรัพย์ศาสตร์” อันเป็นตำราเศรษฐศาสตร์เล่มแรกของสยามประเทศ เขียนโดย “พระยาสุริยานุวัตร” เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการพัฒนาประเทศให้มีความเจริญเช่นเดียวกับอารยประเทศในยุโรป
“พระยาสุริยานุวัตรเน้นว่าการสหกรณ์เท่านั้นที่จะทำให้ประเทศชาติอยู่รอด เพราะด้วยวิธีการ “สหกรณ์” นี้ แรงงาน(ประชาชน) ยังมีกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิต แต่นำเอาปัจจัยนั้นมาร่วมกันในการผลิต ต่างมีส่วนในการจัดการและแบ่งปันผลผลิต ตามแรงและทุนที่ร่วมกันลงไป แรงงานเป็นเจ้าของทุนด้วยในขณะเดียวกัน ความอริวิวาทในระหว่างนายทุนกับแรงงานจะไม่มี ระบบนี้ยังให้ความยุติธรรมในการปันกำไรให้แก่แรงงานที่เป็นเจ้าของทุนด้วยตามความเหน็ดเหนื่อย ในทัศนะของพระยาสุริยานุวัตร ทุนนับเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเป็นไปได้สำเร็จ การลงทุนทำให้เกิดผลประโยชน์และทรัพย์ได้ต่อไป ประเทศที่มีการลงทุนมากจึงเจริญก้าวหน้ารวดเร็ว โดยพระยาสุริยานุวัตรได้แบ่งปัจจัยการผลิตออกเป็น 3 ประการ คือ ที่ดิน, แรงทำการ และทุน แต่ความหมายของทุนก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะ “เงินทุน” เท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึง “ทรัพยกรบุคคล” อีกด้วย



























