“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นหลักปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทาน เพื่อชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิต และปฏิบัติตนให้แก่ประชาชน นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2517 เป็นต้นมา ด้วยหลัก 3 ห่วง “ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การมีภูมิคุ้มกัน” ภายใต้ 2 เงื่อนไข “ความรู้และคุณธรรม” เป็นแนวทางปฏิบัติที่ใช้ได้จริง และหลายองค์กรนำหลักปรัชญาดังกล่าวไปใช้จนประสบความสำเร็จ รวมไปถึงการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้สนับสนุนการจัดการและแก้ไขปัญหาร่วมกันของคนในชุมชน โดยมุ่งเน้นความสามัคคีและสร้างความเข้มแข็งในชุมชน

โมเดลดังกล่าวทำให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงที่ดินและแหล่งเงินทุน ด้วยรูปแบบการให้ที่ดินทำกิน โรงเรือนเลี้ยงสุกร แม่พันธุ์สุกร พร้อมองค์ความรู้ที่เจ้าหน้าที่มาแนะนำ เพื่อเป็นอาชีพตั้งต้นให้เกษตรกรที่ไร้ที่ดินทำกิน สามารถลงหลักปักฐานและมีอาชีพที่มั่นคง จากจุดเริ่มต้นของโครงการเมื่อปี พ.ศ. 2520 การดำเนินงานล่วงเลยไป 10 ปี เกษตรกรก็สามารถพลิกฟื้นผืนดินแห้งแล้ง ให้กลายเป็นชุมชนตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จจากอาชีพการเลี้ยงสุกร ควบคู่กับการเพาะปลูกพืช ก่อเกิดรายได้และสร้างอาชีพอย่างยั่งยืน เกษตรกร 50 ราย ได้รับมอบกรรมสิทธิ์ในที่ดิน บ้านพักอาศัย โรงเรือนเลี้ยงสุกร จากความอุตสาหะของพวกเขาเอง และมีการขยายการเลี้ยงสุกรตามกำลังความสามารถของตนเอง ตลอดจนต่อยอดสู่การทำการเกษตรอื่นๆอีกมากมายในปัจจุบัน

ทางด้าน ศูนย์เรียนรู้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง บ้านซับรวงไทร ตำบลนาเสียว อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งซีพีเอฟเข้าไปร่วมสนับสนุนอิงตามความต้องการของชุมชน ด้วยการส่งเสริมการสร้างอาชีพเกษตรอินทรีย์เพื่อเพิ่มรายได้ และยกระดับให้ชุมชนเข้มแข็งสามารถยืนหยัดด้วยตัวเอง ด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียง
นายชูชีพ ชัยภูมิ ประธานศูนย์เรียนรู้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง บ้านซับรวงไทร บอกว่า ชาวซับรวงไทรปลูกผักปลอดสารเป็นอาชีพเสริม จากการทำข้าวนาปี ไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลัง โดยสมาชิกเข้ามาทำประโยชน์ในพื้นที่กว่า 30 ไร่ของศูนย์ฯ แต่ที่ผ่านมามีปัญหาใหญ่คือ ปริมาณน้ำที่ใช้ไม่เพียงพอต่อการเพราะปลูก ทำให้ไม่สามารถปลูกพืชได้ตลอดทั้งปี จนกระทั่ง ธุรกิจไก่ปู่-ย่าพันธุ์เนื้อ ของซีพีเอฟ เข้ามาเป็นสมาชิกของชุมชนและได้มาจัดกิจกรรมสานเสวนาเพื่อรับฟังปัญหาและความต้องการของชุมชน ทำให้ทราบว่าเกษตรกรมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนเพียง 2,462 บาท ซึ่งต่ำกว่าค่าความยากจนเฉลี่ยประเทศไทย (จ.ชัยภูมิ) บริษัทจึงเข้ามามีส่วนร่วมแก้ปัญหาตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 ด้วยโครงการ “สร้าง สาน สุข วิถีชุมชน” โดยสร้างหอกระจายน้ำเพื่อการเกษตร และทำหอพักน้ำเพื่อแปลงเกษตร 21 หอ สำหรับเกษตรกรกลุ่มปลูกผักทั้ง 43 ราย ทุกคนจึงได้รับการกระจายน้ำอย่างทั่วถึง ผักปลอดภัยไร้สารเคมี 100% บ้านซับรวงไทร กลายเป็นต้นแบบเกษตรอินทรีย์ของจังหวัดชัยภูมิ ซีพีเอฟช่วยต่อยอดสู่การก่อตั้ง “ตลาดผักสด ผลไม้ ปลอดภัย” บ้านซับรวงไทร เพื่อเป็นแหล่งจำหน่ายผลิตภัณฑ์ พร้อมร่วมดูแลวางแผนการตลาด และหาช่องทางการจำหน่ายผ่านออนไลน์ ทำให้ชุมชนมีอาชีพมั่นคง มีรายได้ที่ยั่งยืน
ขณะที่ “ศูนย์การเรียนรู้เกษตรผสมผสานแบบเศรษฐกิจพอเพียงบ้านดอนวัว” ตำบลลาดบัวขาว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ที่ธุรกิจไก่พ่อแม่พันธุ์ ซีพีเอฟ นครราชสีมา ร่วมพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของชุมชนบ้านดอนวัวและชุมชนอื่นๆ พร้อมขยายผลต่อยอดสู่การพัฒนาตนเองของชุมชน ด้วยการส่งเสริมอาชีพให้ชาวชุมชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนให้กับสมาชิกของศูนย์ฯ และก้าวสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยววิถีชุมชน “ลาดบัวขาวโมเดล” ที่มีนักท่องเที่ยวสนใจเข้าเยี่ยมชมอย่างต่อเนื่อง นายบัญชา ขาวเมืองน้อย รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ เล่าว่า ด้วยวิถีของชุมชนบ้านดอนวัวส่วนใหญ่ยึดอาชีพทำการเกษตรเป็นหลัก จากการสานเสวนาระหว่างบริษัทกับชุมชน พบว่าปัญหาของเกษตรกรคือ ต้นทุนการผลิตสูงจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และรายได้จากการผลิตสินค้าเกษตรลดลง จึงได้ร่วมกับภาคีเครือข่าย เกษตรอำเภอ และหมอดิน เข้าไปให้คำแนะนำในการปลูกพืชหมุนเวียน ปลูกพืชแบบผสมผสาน มีการถอดบทเรียนให้ความรู้กับเกษตรกรที่เป็นสมาชิกศูนย์เรียนรู้ฯ และขยายผลสู่ชุมชน จนประสบความสำเร็จในปัจจุบัน โดยมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และมีผลผลิตตามฤดูกาลเพื่อจำหน่ายตลอดทั้งปี

ซีพีเอฟ น้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงใช้ในการบริหารจัดการองค์กร เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน และยังนำหลักปรัชญาดังกล่าวมาปฏิบัติเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน โดยยึดแนวทางความพอประมาณ ความมีเหตุผล การมีภูมิคุ้มกัน สามารถพึ่งพาตนเอง อยู่บนพื้นฐานการเติบโตอย่างยั่งยืน























