
“การแก้ไขปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ส่งออกขาดแคลน การแก้ปัญหาโลจิสติกส์ และการแก้ไขปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงานและล้งจากภาคตะวันออกลงใต้จนคลี่คลายระดับหนึ่งจากการทำงานร่วมกันของรัฐมนตรีเกษตรฯ รัฐมนตรีพาณิชย์ และผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธาน (คพจ.) ทำให้ราคามังคุดเพิ่มขึ้น เช่นกรณีจังหวัดนครศรีธรรมราชซึ่งเป็นฮับมังคุดภาคใต้ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม มีเพียง 46 ล้ง แต่เมื่อมีการแก้ปัญหาและผ่อนปรนมาตรการอย่างรวดเร็ว ทำให้ปัจจุบันมีล้งเพิ่มเป็นกว่า 200 ราย และแผงรับซื้อผลไม้กว่า 400 แผงที่เข้าไปรับซื้อในพื้นที่และการกลับมาเปิดบริการของบริษัทขนส่ง เช่นไปรษณีย์ไทย เคอรี่ส่งผลให้กลไกและระบบการค้าฟื้นกลับมา” นายอลงกรณ์ กล่าว

รวมทั้งกลยุทธ์ล่าสุดคือโครงการ “เกษตรกรแฮปปี้”ภายใต้แนวคิด “คนกินยิ้มได้ เกษตรกรไทยแฮปปี้” บนความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดีอี กระทรวงมหาดไทย (คพจ.) บริษัท ไปรษณีย์ไทย บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด (ท็อปส์ มาร์เก็ต และ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์) บริษัท แกร็บ ประเทศไทย เครือข่ายร้านธงฟ้า คณะอนุกรรมการอีคอมเมิร์ซ และคณะอนุกรรมการธุรกิจเกษตรของกระทรวงเกษตรฯ สามารถระบายขายมังคุดเกรดคละได้กว่า 100 ตันในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์โดยไม่ได้ใช้งบประมาณภาครัฐ ทั้งนี้ ยังมีโครงการระบายมังคุดผ่านระบบสหกรณ์อีกหลายร้อยตันทั้งรูปแบบการซื้อขายและแลกเปลี่ยนมังคุดกับสินค้าเกษตรระหว่างสหกรณ์ ตลอดจนโครงการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ กับททบ.5 กองทัพบก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทยและโครงการกระจายผลไม้ผ่านหน่วยงานรัฐและรัฐสภา ฯลฯ เราพยายามอย่างที่สุดเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร อาจมีบางส่วนบางพื้นที่ที่ยังมีปัญหาด้านการขายและราคาก็พร้อมจะเข้าไปดูแลทันที เช่นกรณีมังคุดภูเขา “คีรีวง” ของนครศรีธรรมราชมีปัญหาพอแจ้งมาเราก็ส่งทีมเกษตร-พาณิชย์ลงไปดูแลทันทีภายใน 24 ชั่วโมง
นายอลงกรณ์ พลบุตร ในฐานะหัวหน้าทีมบริหารจัดการผลไม้เฉพาะกิจของฟรุ้ทบอร์ด ยังกล่าวต่อไปว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ Fruit Board และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์ ได้สั่งการให้ฟรุ้ทบอร์ดเร่งช่วยเหลือชาวสวนลำไย และเงาะที่มีราคาลดลงในช่วงกลางฤดูผลิตและลองกองอีกกว่า 4 หมื่นตันที่กำลังจะออกมาเป็นการล่วงหน้าโดยด่วน พร้อมกันนี้ยังได้ขอบคุณและเชิญชวนทุกภาคส่วนช่วยกันสนับสนุนซื้อผลไม้ไทยเพื่อช่วยชาวสวนให้ได้ราคาที่เป็นธรรมมีรายได้เพิ่มขึ้นจนกว่าจะสิ้นสุดฤดูกาลผลไม้ปี 2564
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังได้มอบนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ เช่น กรมส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมวิชาการเกษตร และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เร่งพัฒนาคุณภาพมาตรฐานผลไม้และระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) รวมทั้งมาตรการป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโควิด-19 (COVID Free) ตามยุทธศาสตร์เกษตรปลอดภัยและให้จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจภายใต้ฟรุ้ทบอร์ดจัดทำแผนปฏิรูปการบริหารจัดการผลไม้เชิงโครงสร้างทั้งระบบ ทั้งระยะสั้นและระยะยาวภายใน 90 วัน โดยฟรุ้ทบอร์ดมอบที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ เป็นประธานเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซากทุกปี โดยเฉพาะให้สร้างกลไกที่พร้อมปฏิบัติการฉุกเฉินได้ทันทีเมื่อเกิดปัญหาเฉพาะหน้า เช่นกรณีปัญหาการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในปีนี้ที่ต้องปรับกลยุทธ์และปรับแผนแม้จะทำได้รวดเร็วก็ตามแต่ยังเป็นมาตรการเฉพาะกิจบางครั้งต้องมีการประชุมทำให้เกิดปัญหาขั้นตอนราชการกว่าจะอนุมัติมาตรการใหม่ๆ ก็ต้องใช้เวลาไม่ทันการแก้ปัญหาแบบเร่งด่วน เหตุการณ์ปีนี้คือบทเรียน
ทั้งนี้ จากรายงานของกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า ในเดือนมิถุนายนปีนี้ การส่งออกผลไม้เพิ่มขึ้น 185% และมังคุดส่งออกขยายตัวกว่า 400% แต่พอถึงเดือนกรกฎาคมเกิดการการแพร่ระบาดของโควิด19 ภายในประเทศที่รุนแรงมากขึ้นทำให้มีการออกมาตรการล็อคดาวน์เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่สุดของผลไม้ไทย รวมทั้งเวียดนามและลาวที่เป็นเส้นทางการขนส่งได้ยกระดับมาตรการป้องกันโควิด19 เข้มข้นมากขึ้น ทำให้ตู้คอนเทนเนอร์หมุนกลับมาไม่ทันล้งเคลื่อนย้ายไปภาคใต้ได้น้อยมากส่งผลกระทบต่อระบบโลจิสติกส์ กลไกการค้าและราคาผลไม้ จะเห็นว่าในสถานการณ์โควิด19 มีโอกาสเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดได้ตลอดเวลา จึงต้องปรับการบริหารและโครงสร้างใหม่เพื่อรับมือกับวันข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ทางด้านกระทรวงพาณิชย์ทำงานเชิงรุกตลอดเวลาเช่นกัน ล่าสุด นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เร่งรัดการเปิดตลาดใหม่ด้วยโครงการจับคู่ธุรกิจเพื่อเจรจาการค้าผ่านระบบออนไลน์ในตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกา และลาตินอเมริกา ซึ่งผู้เข้าร่วมเจรจาธุรกิจเป็นผู้ส่งออกไทยจำนวน 123 บริษัท และมีผู้ซื้อ ผู้นำเข้าสมัครเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น จำนวน 74 ราย เกิดการจับคู่ธุรกิจได้จำนวน 123 คู่ ก็เป็นอีกมาตรการเพื่อขยายตลาดส่งออกโดยเฉพาะผลไม้และผลิตภัณฑ์ผลไม้ของไทย





























