จากสถานการณ์ฝนตกน้อยลงในระยะนี้ ส่งผลให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและน้ำท่ามีน้อย จึงเน้นย้ำทุกโครงการชลประทาน บริหารจัดการน้ำทุกหยดอย่างรู้คุณค่า
ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน ในฐานะโฆษกกรมชลประทาน เป็นประธานในการประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำ ผ่านระบบ VDO Conference ไปยังผู้แทนจากกรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมทรัพยากรน้ำ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และสำนักงานชลประทานเครือข่าย SWOC ทั่วประเทศ เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำจากพื้นที่ต่างๆ สำหรับเป็นข้อมูลในการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝน
ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์สภาพอากาศในช่วงวันที่ 8 – 13 ก.ค. 63 ประเทศไทยบริเวณภาคตะวันออก และภาคใต้ มีฝนฟ้าคะนองหลายพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง

ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 55 ของแผนจัดสรรน้ำฯที่วางไว้ คงเหลือปริมาณน้ำที่ต้องจัดสรรอีก 1,463ล้าน ลบ.ม.
ส่วนผลการเพาะปลูกข้าวนาปี ล่าสุด(ข้อมูล ณ วันที่ 1 ก.ค. 63) ทั้งประเทศมีการทำนาปีไปแล้ว ประมาณ 6.71 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 39 ของแผนฯ(แผนวางไว้ 16.79 ล้านไร่) เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา เพาะปลูกไปแล้ว 2.50 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 30 ของแผนฯ(แผนวางไว้ 8.10 ล้านไร่)
ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนมาแล้วกว่า 50 วัน แต่เนื่องจากมีฝนตกน้อยกว่าค่าเฉลี่ย ปริมาณน้ำที่ไหลลงอ่างเก็บน้ำและน้ำท่าจึงมีไม่มากนัก ดังนั้น การบริหารจัดการน้ำและการระบายน้ำต้องเป็นไปตามแผนอย่างรัดกุม ใช้น้ำทุกหยดอย่างรู้คุณค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะในลุ่มน้ำเจ้าพระยา พี่น้องเกษตรกรที่เพาะปลูกข้าวตามแผนไปแล้ว กรมชลประทาน จะบริหารจัดการน้ำท่าในแหล่งน้ำธรรมชาติให้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดความเสียหายต่อผลผลิตข้าวที่ได้เพาะปลูกไปแล้ว ส่วนเกษตรกรที่ยังไม่ได้ทำการเพาะปลูกควรรอหลังกลางเดือนกรกฎาคม ซึ่งคาดว่าจะมีฝนตกมากขึ้นและตกสม่ำเสมอไปจนถึงเดือนกันยายน จึงเหมาะสมแก่การเพาะปลูก
 
			