ประกาศประธานาธิบดีสหรัฐ (Presidential Proclamation) กรณีสหรัฐจะระงับสิทธิพิเศษทางการค้าสำหรับสินค้าบางรายการของประเทศไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ 231 รายการ ภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) มีผลบังคับใช้ในวันที่ 30 ธ.ค. 2563 เป็นต้นไป โดยปมการตัดสิทธิ GSP ด้วยเหตุที่ไทยไม่ได้ให้ความมั่นใจกับสหรัฐว่า จะเปิดโอกาสให้เข้าถึงตลาดของไทยได้อย่างเท่าเทียมและสมเหตุสมผล หนึ่งในนั้นน่าจะมาจากการที่ไทยไม่เปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูสหรัฐ ที่มีการใช้สารเร่งเนื้อแดงอย่างเสรี ซึ่งฝ่ายไทยได้ชี้แจงอย่างต่อเนื่องถึงผลกระทบด้านสุขภาพและสุขอนามัยของประชาชน
เรื่องการผลักดันเนื้อหมูสหรัฐเข้าไทยนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นความพยายามที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2556 ซึ่งไทยคัดค้านการนำเข้าชิ้นส่วนหมูและเครื่องในหมูจากสหรัฐมาโดยตลอด เพราะการเปิดนำเข้าหมูนี้ก็ไม่ต่างจากการเปิดรับขยะของชาวอเมริกัน เนื่องจากชิ้นส่วนเหล่านี้ ทั้งหัว ขา โดยเฉพาะเครื่องใน ที่คนอเมริกันไม่กิน เพราะเป็นชิ้นส่วนที่มีการตกค้างของสารเร่งเนื้อแดงมากที่สุด สุดท้ายสหรัฐจำต้องพับแผนด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยทางอาหารของไทย
แต่การกดดันกลับมาหนักข้อขึ้นในสมัยของ โดนัล ทรัมป์ หลังจากชนะการเลือกตั้งและเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปี 2559 เป็นต้นมา ตามนโยบาย American First ที่มุ่งลดการนำเข้าสินค้าต่างประเทศ และให้อเมริกาเป็นแหล่งผลิตและบริโภคเองภายในประเทศ รวมถึงการจัดการกับประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าจากสหรัฐฯ ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในนั้น จึงไม่แปลกที่ไทยจะกลายเป็นเหยื่ออันโอชะ ที่พญาอินทรีย์อย่างสหรัฐอเมริกาจ้องจะตะครุบ โดยใช้เรื่องการตัดสิทธิ GSP เป็นเครื่องมือกดดันไทยอย่างหนัก
ยิ่งตอนนี้ใกล้เลือกตั้งเข้าไปทุกขณะ ทรัมป์ จึงไม่ปล่อยโอกาสในการดึงฐานคะแนนเสียงจากบรรดาผู้เลี้ยงหมูสหรัฐที่เป็นกลุ่มใหญ่มากที่มีความสามารถในการเลี้ยงหมูเป็นอันดับ 2 ของโลก ดังนั้นการโชว์เพาเวอร์เพื่อเอาใจฐานเสียง โดยดึงเอาเรื่องการกดดันให้ไทยนำเข้าหมู ที่ยืดเยื้อมากว่า 3 ปี เพื่อแลกกับสิทธิพิเศษทางภาษีนี้ จึงไม่ใช่เรื่องเกินคาดเดา
ทั้งๆที่เหตุผลที่ไทยนำมาใช้คัดค้านหมูสหรัฐมาตลอดคือ การที่ไทยกับสหรัฐมีการเลี้ยงหมูที่แตกต่าง โดยเฉพาะการใช้สารปรับสภาพซาก ซึ่งเป็นสารเร่งเนื้อแดง-แร็กโตพามีน (Ractopamine) ที่ใช้กันเป็นปกติในสหรัฐ แต่ในไทยถือเป็นสารต้องห้ามตามกฎหมาย 2 ฉบับ ทั้งประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดงเป็นส่วนผสมในการผลิตอาหารสัตว์ พ.ศ.2545 และประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องมาตรฐานอาหารที่มีการปนเปื้อนสารเคมีกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ พ.ศ.2546 กลายเป็นข้อกำหนดที่ไม่สอดคล้องกัน
การผลักดันหมูที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงอย่างอิสระเสรีเข้ามาในไทย จึงเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ทั้งในแง่กฎหมายและแง่สุขภาพของคนไทยที่ต้องได้รับการปกป้อง และต้องไม่ยอมให้เนื้อหมูสหรัฐเข้ามาขายปะปนกับหมูไทยที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารปลอดภัย (Food Safety) ที่สุดในภูมิภาคและในระดับโลก จากผลผลิตหมูคุณภาพดี สะอาด ปลอดภัย ปลอดโรค โดยเฉพาะโรคสำคัญในหมูอย่าง ASF ที่ไทยเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคที่ปลอดจากโรคนี้
และปัจจุบันผลผลิตหมูขุนมีชีวิตของไทยที่ออกสู่ตลาด 6 หมื่นตัวต่อวัน เป็นการบริโภคในประเทศ 4-5 หมื่นตัวต่อวัน ถือว่าเป็นปริมาณที่มากเพียงพอกับการบริโภคของคนไทย กระทั่งบางช่วงมีมากเกินจนราคาดิ่งลงด้วยซ้ำ หากยอมให้หมูสหรัฐเข้ามาตีตลาดบ้านเรา แล้วจะเอาหมูไทยที่มีมาก แถมยังราคาถูกที่สุดและคุณภาพดีที่สุดไปไว้ที่ไหน ถึงเวลานั้นคนที่ได้รับผลกระทบเป็นกลุ่มแรกก็หนีไม่พ้นเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูคนไทยที่มีมากกว่า 180,000 คน และยังมีผลต่อไปถึงห่วงโซ่การผลิตทั้งอุตสาหกรรม ตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกพืช ทั้งส่วนของรำข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมถึงภาคอาหารสัตว์ จนถึงเวชภัณฑ์สัตว์ไทย รวมทั้งหมดกว่า 2 แสนราย ที่ ต้องล่มสลายแน่นอน เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันกับหมูสหรัฐได้
ที่สำคัญ ต้องไม่ลืมว่าสหรัฐเป็นผู้ผลิตสินค้าเนื้อสัตว์รายสำคัญของโลกโดยเฉพาะหมูและไก่เนื้อ ยิ่งไก่เนื้อแล้วไทยนับเป็นคู่แข่งรายสำคัญ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูง จนกลายเป็นผู้ผลิตไก่เนื้อเป็นอันดับ 8 ของโลก และเป็นผู้นำด้านการส่งออกเป็นอันดับ 4 ของโลก แต่ที่ผ่านมาสหรัฐก็ไม่เคยเปิดตลาดไก่เนื้อให้กับไทย โดยอ้างดูแลเกษตรกรในประเทศของตนเอง นี่คือนโยบายการค้าของสหรัฐที่ไม่เคยเอื้อให้ชาติอื่น แต่กลับเรียกร้องให้ชาติอื่นเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง และยังอ้างเหตุผลนานับประการเพื่อกีดกันการค้ากับไทยมาตลอด
โชคดีที่รัฐบาลไทยไม่หลงกลกับเกมส์การค้าที่ไม่โปร่งใสของสหรัฐ ที่บีบไทยให้นำเข้าหมูโดยอ้าง GSP ที่ถือเป็นอีกหนึ่งในการทำลายสถานะทางเศรษฐกิจของไทย ที่ผ่านมารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำถูกแล้ว ที่ต่อสู้เพื่อคนไทยและเกษตรกรไทย ไม่ให้เนื้อหมูและเครื่องในที่เต็มไปด้วยสารอันตราย เข้ามาสร้างปัญหาสุขภาพให้กับคนไทย และไม่ให้มาทำลายอาชีพเกษตรกรไทยอีกหลายแสนคนได้ ถือเป็นการปกป้องประชาชนไทยจากกรงเล็บของพญาอินทรีย์ ขอให้ยืนหยัดอย่ายอมอ่อนข้อให้เขา ต้องไม่ปล่อยให้คนไทยตายผ่อนส่งอย่างเด็ดขาด
โดย..อุษณีย์ รักษ์กสิกิจ : usanee.rak@gmail.com