สทนช.ดัน “SEA” กู้วิกฤติพื้นที่ลุ่มน้ำมูล 10 จว.ภาคอีสานอย่างยั่งยืน

0
11930

สทนช.”  เร่งเดินน้าสรุปผลศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) ขีดเส้นแล้วเสร็จภายใน ก.พ.นี้   พร้อมดันเป็นทางเลือกบริหารจัดการปัญหาวิกฤติลุ่มน้ำมูลทั้งระบบ    หวังช่วยคนอีสาน 10 จว.พ้นวิกฤติแล้ว-ท่วมซ้ำซากในอดีต  

ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์    เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)   กล่าวภายหลังเป็นประธานการแถลงข่าว “SEA ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาลุ่มน้ำมูลอย่างยั่งยืน”  ว่า   ปัจจุบันลุ่มน้ำมูลครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 44 ล้านไร่ ปัจจุบันมีพื้นที่ป่าไม้เหลือเพียง 5.5 ล้านไร่ หรือร้อยละ 12 ของพื้นที่ทั้งลุ่มน้ำ พื้นที่การเกษตรประมาณ 33 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 74 ปัจจุบันพื้นที่เกษตรได้รับการพัฒนาเป็นพื้นที่ชลประทานแล้วเพียง 2 ล้านไร่หรือคิดเป็นร้อยละ 6 ที่เหลืออีกกว่า 31ล้านไร่หรือร้อยละ 94 เป็นพื้นที่ที่ต้องพึ่งพาน้ำฝน ขณะที่มีปริมาณฝนรายปี เฉลี่ย 85,089 ล้านลูกบาศก์เมตร มีปริมาณน้ำท่าในลำน้ำเฉลี่ยปีละ 13,410 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนความต้องการน้ำทุกภาคส่วนมีถึง 10,155 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ความสามารถในการเก็บกักน้ำมีเพียง 5,350 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 40 % ของความต้องการใช้น้ำทั้งหมด จึงส่งผลให้ลุ่มน้ำมูลประสบปัญหาเรื่องน้ำมาโดยตลอด ทั้งปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคและน้ำเพื่อการเกษตร  

ซึ่งพบว่าแต่ละปีมีพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำกว่า 12.4ล้านไร่  ปัญหาน้ำท่วมที่เคยท่วมสูงสุด 3.7 ล้านไร่ (ปี 2553) รวมถึงปัญหาคุณภาพน้ำที่เกิดจากการปล่อยน้ำทิ้งของชุมชน การเลี้ยงปลาในกระชัง  นอกจากนี้ยังมีสภาพดินตื้น ดินเค็ม น้ำเค็ม-น้ำกร่อย ป่าไม้เสื่อมโทรม พื้นที่ป่าต้นน้ำลดลง เป็นต้น ดังนั้น เพื่อเป็นกรอบแนวทางการพัฒนาและแก้ไขปัญหาข้างต้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องประเมินศักยภาพและข้อจำกัดของพื้นที่ลุ่มน้ำมูล โดยใช้กลไกแนวใหม่ที่เรียกว่า การประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ หรือ SEA (Strategic Environmental Assessment) ซึ่ง สทนช. นำมาใช้ในการศึกษาเพื่อประเมินศักยภาพและข้อจํากัดของสิ่งแวดล้อม ทิศทางในการพัฒนาลุ่มน้ำ รวมถึงเปรียบเทียบทางเลือกในการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำ เพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างรอบคอบ และเกิดประโยชน์สูงสุดซึ่งสอดคล้องกับประเด็นยุทธศาสตร์ในการพัฒนาการจัดการน้ำเชิงลุ่มน้ำทั้งระบบในการเพิ่มความมั่นคงด้านน้ำของประเทศ

สำหรับขอบเขตพื้นที่ศึกษาครั้งนี้รวมทั้งสิ้น 1,282 ตำบล 151 อำเภอ ใน 10 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ยโสธร อำนาจเจริญ ขอนแก่น มหาสารคาม และร้อยเอ็ด ระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี จากผลการศึกษาเบื้องต้นได้นำเสนอทางเลือก อาทิ การพัฒนาพื้นที่เกษตรเป็นแหล่งเก็บกักน้ำชั่วคราว การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ การเชื่อมโยงแหล่งน้ำขนาดเล็กเข้าด้วยกัน การเก็บกักน้ำส่วนเกินในฤดูฝนเพื่อใช้ในฤดูแล้ง แนวทางพัฒนาหาน้ำต้นทุนจากแหล่งที่มีน้ำต้นทุนขนาดใหญ่ การผันน้ำจากพื้นที่ข้างเคียง การสนับสนุนการวิจัยการลดการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ  การจัดทำโครงสร้างใต้ดินเพื่อจัดเก็บน้ำส่วนเกิน (บ่อกักเก็บน้ำฝนใต้ดิน) และระบบเครือข่ายเชื่อมโยงสถานีตรวจสอบคุณภาพน้ำอัตโนมัติเพื่อติดตามและตรวจสอบคุณภาพน้ำ (Real time) เป็นต้น  

โดยผลการศึกษาใกล้จะแล้วเสร็จตามแผนภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 นี้ เพื่อนำไปสู่การประเมินทางเลือกที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ และสรุปผลการศึกษา SEA ให้กับหน่วยงานและประชาชนในพื้นที่นำไปสู่การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำมูลอย่างสมดุลและยั่งยืน ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับประเด็นยุทธศาสตร์ ในการพัฒนาการจัดการน้ำเชิงลุ่มน้ำทั้งระบบเพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านน้ำของประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580 ) และแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20ปี (พ.ศ.2561-2580)

 ในกระบวนการ SEA สทนช.เน้นย้ำให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วม ตั้งแต่การวิเคราะห์ปัญหา สาเหตุ แนวทางการแก้ไข และทางเลือกของแผนงาน โดยมีการประชุมแบบเวทีย่อย ประชุมกลุ่มย่อย การสำรวจเศรษฐกิจสังคมในเชิงพื้นที่ รวมทั้งการจัดเวทีรับฟังข้อคิดเห็นจากคณะกรรมการลุ่มน้ำประกอบด้วย เพื่อให้สาธารณชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาแผนงานให้เหมาะสมกับการพัฒนาในพื้นที่ของตนเอง ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรน้ำ เสริมสร้างคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับประชาชนได้อย่างยั่งยืนดร.สมเกียรติ กล่าว